วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โยฮันน์ กูเทนแบร์ก


โยฮันน์ กูเทนแบร์ก





เป็นบิดาแห่งการพิมพ์ก็เนื่องมาจากเขาเกิดในดินแดนยุโรปที่มีตัวอักษรแค่ 26ตัว และปัญญาชนของโลกใช้วิทยาการนี้เผยแพร่ความคิด เขาจึงได้ชื่อว่าผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ เพราะวิทยาการของเขาส่งผลต่อวิทยาการแขนงต่างๆของโลกสืบมาชื่อเต็มของเขาคือ โยฮันเนส เจนส์ไฟลช์ ลาเดน ซูม กูเตนเบิร์ก เกิดราวปี ค.ศ. 1398 ที่เมืองไมนซ์ประเทศเยอรมนี

บิดาของท่านเป็นขุนนางขั้นสูง ชื่อ ไฟร์ล เจนส์ไฟร์ล ซูร์ ลาเดน มารดาชื่อ เอลซ์ ไวริช
จุดเริ่มต้นของ เขาคือ การไปโบสถ์กับบิดา เพื่อดูการพิมพ์ภาพโดยที่เขากำลังมองอยู่นั้นเป็นการพิมพ์แบบแกะสลักไม้ โดยเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องยากส่งผลให้หนังสือมีราคาแพงและไม่แพร่หลายผู้คนนิยมน้อย เขาจึงคิดค้นเครื่องพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ได้รวดเร็ว เขาเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเออเฟิร์ต (The University of Erfurt)

ค.ศ. 1434 เขาได้ทำงานเป็นลูกจ้าในร้านตัดกระจก เขาประดิษฐ์เครื่องพิมพ์และอักษรโลหะ 26 ชิ้นที่มีขนาดเท่ากันได้สำเร็จเป็นครั้งแรก





ค.ศ. 1448 กูเตนเบิร์กเดินทางกลับเมืองไมนซ์ เพื่อยืมเงินญาติและเพื่อนมาลงทุนทำโรงพิมพ์ 


สุดท้ายเพื่อนชื่อโยฮันน์ ฟัสต์ ให้ยืมเงิน 800 กิลเดอร์ ค.ศ. 1455 เครื่องพิมพ์กูเตนเบิร์กพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิลออกมาราว 800 เล่ม เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ไบเบิ้ลของกูเตนเบิร์ก (The Gutenburg Bible) จากผลงานครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งจากสังฆราชเมืองไมนซ์ให้เป็นมหาดเล็ก และได้รับเงินบำนาญอีกด้วย


ต่อมาปี ค.ศ. 1475 วิลเลียม แคกซ์ตัน (William Caxton) ช่างพิมพ์ชาวอังกฤษ ได้พัฒนาเครื่องพิมพ์เพื่อตีพิมพ์หนังสือ Recuyell of the Histoyes of Troye นับเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกของโลก


ผลกระทบในโลกปัจจุบัน



ตั้งแต่ โยฮันน์ กูเทนแบร์ก ได้คิดค้นแท่นพิมพ์ที่ เปลี่ยนโลกทั้งใบให้ก้าวหน้าทางด้าน การพิมพ์ ทางด้านข่าวสารที่ สามารถส่งถึงมือ ผู้รับได้อย่างรวดเร็วราคาถูก ไม่แพง สามารถเก็บไว้ได้ และ ในสมัยนี้ยังได้พัฒนานำข่าวสาร มาประยุกต์ใช้กับไอทีเช่น ข่าวบนเว็ปไซต์ 









วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย



ชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย  




ชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย  อาจเป็นเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิมอาจเต็มไปด้วย  รอยยิ้ม  เสียงหัวเราะ  และคราบน้ำตา ปะปนกันไป








ชีวิตของนักศึกษานั้นต่างจากชีวิตเด็ก ม. ปลายไปอย่างมากโดยเฉพาะตัวผม  การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญผมต้องแบ่งเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ต้อง  ยอมรับสังคมที่ใหญ่มากยิ่งขึ้น  การที่อยู่กันเป็นหมู่คณะโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งรุ่นพี่ ทั้งเพื่อน ที่ไม่เคยร็จักกันการวางตัวนิสัยที่เราเคยทำต้องปรับใหม่  การมาเรียน ในชีวิตเด็ก ม. ปลายนั้นเราจะเคยชินกับการ  ตื่นสายไปเรียน   เช็คงาน  ส่งงาน  เจอเพื่อนๆ  ที่รู้จักกันดี แต่ในมหาวิทยาลัย ตัวผมต้องปรับตัว ตื่นเช้า ต้องเข้ามาก่อนที่อาจารย์จะมาถึงเพื่อรอสิ่งเดียวนัน้คือการเช็คชื่อ การเช็คชื่อนั้นสำคัญมากเพราะถ้าเราขาดเกิน 3 ครั้งโดยหาเหตุหาผลมาไม่ได้นั้นแหละ เราจะหมดสิทธิ์สอบและในเทอมนั้นเราจะเสียเวลาไปโดนสูญเปล่า  ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้นเราจะต้องเป็นเจ้านายตัวเอง ต้องเป็นคนกำหนดเองจัดสรรเวลาเองจะไม่มีใครมาบอกว่าเราคงค้างงานอะไรอยู่จะไม่มีใครมาเตือนว่าขาดกี่ครั้งแล้วนึกคิดในชีวิตนีกศึกษาเนี่ยก็ไม่สบายเหมือนชีวิตเด็ก ม. ปลาย เลย  ทั้งนี้สิ่งที่ผมปรับตัวเป็นอย่างมากคือการกลับบ้านหนทางกลับบ้านผมนั้นจะเปลี่ยวมากในเวลาตอนกลางคืน  มีสองช่วงที่ผมต้องกลับบ้านดึกๆดื่นๆ คือ 




 กิจกรรมการรับน้อง  การรับน้องนั้นเป็นกิจกรรมที่ทำให้รู้ว่าเพื่อนคนไหนที่พร้อมสู้เพื่อนคนไหนที่ไม่สู้  สุ้ใน ณ ที่นี้คือ การยืดหยัดไปด้วยกัน  กิจกรรมรับน้องยังแผงไปด้วย  รอยยิ้ม  น้ำตา  มิตรภาพ และอื่นๆอีกมากมาย  กิจกรรมรับน้องบางครั้งก็ทำให้เราหัวเสียได้เหมือนกัน แต่บางครั้งก็ทำให้เราสนุกมากจนไม่อยากให้ช่วงเวลานั้นผ่านไปเลย  ส่วนอีกกิจกรรมหนึ่งคือ กิจกรรมการแข่งขันบูม การแข่งบูมพวกเราซ้อมไม่ถึง 1 เดือน ใน 1 เดือนนั้น






เราอดทนกับทุกสิ่งทุกอย่างทั้งเพื่อน  ที่ไม่ยอมมาช่วยกัน  ทั้งโดนลงโทษ  แต่มันก็ผ่านมาด้วยดี การซ้อมบูมวันแรกถึงวันที่สาม  เราฝึกร้องเพลงกัน   บางคนก็ร้องได้ แต่บางคนก็ยังร้องไม่ได้  วันที่ 4 การร้องเพลงพวกเราเริ่มดีขึ้นมาก  รุ่นพี่ของผมจึงให้เราแปลตัวอักษรการแปลตัวอักษรนั้นเราต้องใช้ความสามัคคีเป็นอย่างมากถ้าขาดความสามัคคีแล้วเราก็จะแปลออกมาไม่ได้เลย  ก่อนถึงวันแข่งแค่  1  วันเราก็มีปัญหาเพื่อนมาไม่ครบ นั้นแหละปัญหาใหญ่    ถ้าเพื่อนคนไหนหรือใครคนใดคนหนึ่งมาไม่ครบก็จะแปลอักษรไม่ได้เลย   แต่พอถึงวันแข่งพวกเราได้ร่วมมือประกาศศักดาให้สาขาอื่นรู้ว่าเราคือ นิเทศศาสตร์ (สื่อใหม่) พร้อมได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 มาครอง





ชีวตนักศึกษานั้นเราโตขึ้นด้วยความคิดและการกระทำการปรับตัวของเราเองโดยไม่มีใครมาบังคับ  ถ้าเราไม่บังคับตนเองเราก็จะไม่สามารถผ่านมันไปได้และยอมแพ้อุปสัคไปโดยสิ้นเชิง